วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เที่ยวยุโรป ทัวร์ยุโรป ไฮไลท์อิตาลี


เที่ยวยุโรป ทัวร์ยุโรป ไฮไลท์อิตาลี
อิตาลี (Italia)

            เป็นประเทศในทวีปยุโรป บริเวณยุโรปใต้ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีที่มีรูปทรงคล้ายรองเท้าบูต อิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งมีอารยธรรมโบราณกล่าวคือ อารยธรรมมิโนอันและไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมกรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่น ๆ ในทวีปยุโรป จึงไม่แปลกเลยที่ "อิตาลี" จะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสน่ห์น่าสนใจแห่งหนึ่งในโลก
            อิตาลีเป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรม และอารยธรรมมากว่าศตวรรษ เป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ในอดีตกาล ที่ครอบคลุมตลอดอาณานิคม ดินแดนแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  โรม มิลาน เวนิส ฟลอเรนซ์ เช่นเดียวกับเมืองน้อยใหญ่อื่นๆที่สวยงามดังภาพวาดจากอดีต อิตาลีเป็นประเทศที่น่าท่องเที่ยวมาก มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่ฮันนีมูนหนุ่มสาวต่างปรารถนาที่จะมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่อิตาลี ดินแดนในฝันแห่ง ความรักและโรแมนติก รับรองมาเที่ยวที่อิตาลีไม่ผิดหวังแน่นอน

          "ชมความอลังการของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St.Peter’s Basilica) ที่นครวาติกันประเทศที่เล็กที่สุดในโลกที่ตั้งอยู่กลางกรุงโรม ชม 2 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก โคลอสเซี่ยม (Colosseum) หอเอนปิซ่า (Leaning Tower of Pisa) ตื่นตากับความยิ่งใหญ่ของมหาวิหารซานตามาเรียเดล ฟิโอเรที่ฟลอเรนซ์ (Florence) เยือนดินแดนสุดแสนโรแมนติกที่เกาะเวนิส (Venice) ช้อปปิ้งกับแฟชั่นชั้นนำที่เมืองหลวงแห่งแฟชั่นที่มิลาน (Milan) ตามรอยตำนานรักอมตะของโรมิโอกับจูเลียตที่เวโรน่า (Verona)"

ออกเดินทางสู่ กรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยสายการบินคูเวต แอร์ไลน์ เที่ยวบิน KU412

เดินทางถึงท่าอากาศยานเลโอนาร์โด ดา วินชี-ฟิอูมิชิโน หรือ สนามบินฟิอุมมิชิโน่
กรุงโรม ประเทศอิตาลี (เป็นท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี)



น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain) สัญลักษณ์ของกรุงโรม โด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง
สามรักในกรุงโรม
น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain) 
          เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ “เทรวี่” นั้นมาจากคำว่าตรีวิอุม” หมายถึงพบกันของถนนสามสาย เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอค ออกแบบและก่อสร้างโดยนิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732 การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งภายหลังการสิ้นพระชนม์สมเด็จสันตะปาปาที่ เออร์บัน ที่ 8ได้หยุดชะงักลงและดำเนินการสร้างต่อมาจนแล้วเสร็จในปี 1762 รวม ใช้เวลาทั้งสิ้น 30ปี ทางระบายน้ำ เวอร์โก้ บริเวณลานด้านหน้านั้นก่อสร้างมากว่า 2000ปี ครั้งสมัยโรมโบราณซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่งตรงเวลา 19 ปี ก่อนคริสตศักราช รูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการที่อวดโฉมให้ผู้ไปเยือนได้ยลนั้นได้แนวคิดจากความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเนปจูนเทพแห่งท้องทะเลว่ากันว่า หากใครที่ได้โยนเหรียญลงไปในน้ำเขาหรือเธอผู้นั้นจะได้กลับมาเยือนอีกในสักวัน



จากนั้นเดินทางสู่เมืองปีซ่า (Pisa) เมืองแห่งศิลปะที่สำคัญของอิตาลี


หอเอน เมืองปิซ่า (Pisa)

หอเอน เมืองปิซ่า (Pisa)
                หอเอนแห่งเมืองปิซา สัญลักษณ์แห่งเมืองปีซ๋า 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคกลาง สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนรองรับ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1174 ไปเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1350 ใช้เวลานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นอาคารสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลกอีกแห่งหนึ่ง พอสร้างเสร็จฐานก็ทรุดลงไปข้างหนึ่ง ทำให้เอียงออกไปจากเส้นดิ่ง 4 เมตร แต่ที่ไม่ล้มลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วงยังไม่ออกนอกฐาน จึงไม่ล้มและยังทรงตัวอยู่ได้ และหอเอนเมืองปิซานี้เองที่กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองความจริง เรื่องน้ำหนักของของที่ตกเป็นผลสำเร็จ
จากนั้นเดินทางสู่ เมืองเวโรน่า (Verona) เมืองที่ใหญ่อันดับ 2 รองจากเวนิส
เมืองเวโรน่า (Verona

           เมืองเวโรน่ายังได้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโกเมื่อปี คศ. 2000 อีกทั้งวิลเลียม เชกสเปียร์ นักกวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษและของโลกยังใช้บรรยากาศและเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวสองตระกูลในเวโรน่า แต่งเป็นละครโศกนาฏกรรมขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1595 เรื่อง โรมิโอกับจูเลียต
        เวโรนา (Verona) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเวโรนา แคว้นเวเนโตในประเทศอิตาลี เวโรนาเป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองหลวงของ ทางตอนเหนือของอิตาลี เวโรนาเป็นสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยเหตุที่มีความสำคัญทางศิลปะและ วัฒนธรรมที่เห็นได้งานนิทรรศการประจำปีหลายงาน โรงละคร และอุปรากรในโรงละครกลางแจ้งที่สร้างโดยโรมัน เวโรนาเป็นเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจจากตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ตรงโค้งของแม่น้ำอดิเจ (Adige River) ไม่ไกลจากทะเลสาบการ์ดา ที่ตั้งนี้ทำให้เกิดน้ำท่วมขึ้นหลายครั้งจนกระทั่ง ค.ศ. 1956 เมื่อมีการสร้างอุโมงค์โมริ-ทอร์โบเลที่เป็นทางระบายน้ำ 500 คิวบิคเมตรลงไปในทะเลสาบการ์ดาเมื่อมีความจำเป็น อุโมงค์ลดสถิติน้ำท่
     
           จากนั้นนำท่านเดินชมความงามของเกาะเวนิส ชมสะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) ที่มีเรื่องราวน่าสนใจในอดีต
               สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs)
สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sigh) 
          สะพานนี้ใช้เดินข้ามเพื่อไปเข้าคุกที่อยู่อีกฝั่ง วิวที่เห็นจากสะพานนี้จะเป็นวิวที่สวยงามของเมืองเวนิส แสงสว่างที่เห็นจากช่องสะพาน นักโทษจะได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ยก่อนเข้าคุก และจะถอนหายใจด้วยเหตุผลนี้ เพราะรู้ตัวว่าจะไม่มีโอกาสเดินออกมาเห็นแสงสว่างอีกแล้ว ตามประวัติมีอยู่คนเดียวที่ได้ออกมาเขาคือ… คาสโนว่า นักรักผู้ยิ่งใหญ่เวนิสที่คลองมากกว่า 100 คลอง จึงไม่น่าแปลกใจที่เวนิสมีสะพานกว่า 400 สะพาน 
       สะพานนี้เดิมชื่อ Antonio Contino's bridge สร้างในราวปี ค.ศ.1600 สร้างข้าม Rio di Palazzo เชื่อมระหว่าง Doge's prisons (ด้านขวา - เดิมเป็นศาสนสถาน) กับ inquisitor's rooms ของพระราชวัง (ด้านซ้าย) 
ในศตวรรษที่ 17 ศาสนสถานถูกเปลี่ยนเป็นคุก สะพานนี้ถูกเรียกว่า สะพานถอนหายใจ เพราะว่าเป็นสะพานที่นักโทษทุกคนจะเห็นความงามของ
S.Giorgio และน่านน้ำเวนิสเบื้องหน้า ผ่านหน้าต่างของสะพานแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดอิสระภาพ...ทุกคนจึง..ถอนหายใจ 
       สะพานแห่งนี้มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 19 เมื่อ
Lord Byron เขียนไว้ในบทกวีที่มีชื่อเสียงของเขา "Childe Harold's Pilgrimage" ว่า "I stood in Venice on the Bridge of Sighs, a palace and prison on each hand".

          จากนั้นนำท่านถ่ายรูปบริเวณ จัตุรัสซานมาร์โค (St.Mark’s Square) ที่นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า เป็นห้องนั่งเล่นที่สวยที่สุดในยุโรปที่มีโดมใหญ่ 5 โดม ตามแบบศิลปะไบแซนไทน์    
จัตุรัสซานมาร์โค (St.Mark’s Square) 
จัตุรัสซานมาร์โค (St.Mark’s Square) 
         มหาวิหารซานมาร์โคที่เป็นตัวอย่างอันสำคัญของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ตั้งอยู่ที่จตุรัสซานมาร์โคติดและเชื่อมกับวังดยุคแห่งเวนิส เดิมตัววัดเป็นชาเปลของประมุขผู้ครองเวนิส และมิได้เป็นมหาวิหารของเมือง แต่ตั้งแต่ปี ค.ศ.1807 เป็นต้นมาบาซิลิกาก็เป็นที่นั่งของอัครสังฆราชแห่งเวนิส ตัวสิ่งก่อสร้างเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างอย่างงดงามประดับด้วยงานโมเสกแบบ ไบแซนไทน์ และ ประติมากรรมต่างที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ อำนาจ และ ความมั่งคั่งของเวนิส ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 ก็ได้รับสมญาว่า “Chiesa d'Oro” หรือ วัดสุวรรณ

นำท่านเดินทางสู่ เมืองมิลาน (Milan) เมืองที่เรียกได้ว่า เป็นเมืองหลวงแห่งแฟชั่นของโลก


เมืองมิลาน (Milan)
เมืองมิลาน (Milan)
      มิลาน (Milan) เป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลีตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี เมืองมิลานมีประชากร ประมาณ 1,308,500คนโดยถ้ารวมบริเวณรอบนอกและเขตปริมณฑลจะมีประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งเรียกเขตทั้งหมดว่า ลากรันเดมีลาโน  มิลานมีพื้นที่ประมาณ 1,982 ตร.กม. ชื่อเมืองมิลาน มาจากภาษาเซลต์ คำว่า "Mid-lan" ซึ่งหมายถึง อยู่กลางที่ราบ เมืองมิลานมีชื่อเสียงในด้านแฟชั่นและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชั่นในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และ โรม นอกจากนี้มิลานยังเป็นที่รู้จักจากประเพณีคริสต์มาสที่เรียกว่า ปาเนตโตเน อุตสาหกรรม ผ้าไหม และแหล่งผลิตรถยนต์ อัลฟา โรมีโอ
    มิลานเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดและทันสมัยในอิตาลีและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์  มีบล็อกที่น่าประทับใจนับไม่ถ้วนถูกสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่ในมิลานมีตัวละครในรูปแบบที่แตกต่างกันตั้งแต่คลาสสิกของเมืองมิลานพระราชวังเก่านีโอ (palazzos) ที่ทันสมัยไปยังอาคารสำนักงานและ เขตการค้าของมิลานเป็นที่ตั้งของศูนย์ธุรกิจที่สำคัญหลายสถาบันการเงินและหุ้นของตลาดอิตาลี  มิลานเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกสูงแฟชั่นชั้นนำของตนและความเป็นเลิศการออกแบบ  โอกาสในการช้อปปิ้งอยู่ที่ดีที่สุดของพวกเขามากในพื้นที่ Quad โกลเด้นที่ถนนที่เต็มไปด้วยบ้านชั้นนำแฟชั่น  Via Marconi เป็นศูนย์ที่ตั้งหลักของมิลานข้อมูลการท่องเที่ยวของในขณะที่สำนักงานการท่องเที่ยวต่อไปจะขึ้นอยู่ที่สถานีรถไฟ Stazione Centrale เช่นเดียวกับที่ทั้งบริเวณใกล้เคียงสนามบิน Linate และ Malpensa
                   จากนั้นนำท่านเข้าชม มหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo di Milano) ที่สร้างด้วยศิลปะแบบนีโอโกธิค ที่ผสมผสานกัน เป็น สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ชมความงดงามอันน่าอัศจรรย์ 
มหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo di Milano) 
มหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo di Milano) 
เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองมิลาน และเป็นวิหารหินอ่อนสถาปัตยกรรมโกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งใช้เวลาสร้างนานถึง 500 ปี ลักษณะเด่นของวิหารที่นอกเหนือจากความวิจิตรงดงามแล้ว ยังประดับประดาไปด้วยรูปั้นนับกว่า 3000 รูป ที่สวยงามไม่แพ้กัน 
ลานกว้างด้านหน้าดูโอโมที่มีอนุสาวรีย์ พระเจ้าวิกเตอร์เอมมานูเอลที่ 2 ทรงม้า คือ สถานที่จัดงานสำคัญต่างๆ และเป็นที่พบปะของผู้คน รอบๆดูโอโม  คือ  ศูนย์รวมร้านค้า  แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ
ดูโอโมแห่งมิลาน สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่อลังการมากอันแสดงถึง ความเชื่อศรัทธาในคริสต์ศาสนา และความยิ่งใหญ่ของ  พระศาสนจักร ในการเผยแผ่ความเชื่อคริสตชน ในเขตลอมบาเดีย ทางภาคเหนือของประเทศอิตาลี ถือเป็นอาสนวิหารแม่ของอัครสังฆมณฑลมิลาน ซึ่งเป็นอัครสังฆมณฑลที่ใหญ่ที่สุดในโลก 
หลังจากนั้นเดินทางเข้าสู่ เมืองฟลอเรนซ์ (Florence)
เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) หรือ เมืองฟีเรนเซ (Firenze)
               เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) หรือ เมืองฟีเรนเซ (Firenze) คืออีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอิตาลี  โดยเมืองฟลอเรนซ์นั้นเป็นเมืองหลวงของจังหวัดฟลอเรนซ์ (Firenze: FI) และแคว้นทัสกานี (Tuscany) แคว้นที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ศาสนา วัฒนธรรม และอุตสาหกรรม ของประเทศอิตาลี
                เมืองฟลอเรนซ์ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน (Arno River) ปัจจุบันเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากเป็นอันดับต้นๆของโลก โดยเฉพาะในช่วงยุคกลางเมืองฟลอเรนซ์ยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน และถือกันว่าเป็นที่เกิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา และยังมีชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ใ นยุคกลางฟลอเรนซ์เป็นที่รู้จักกันในนามว่าเอเธนส์อีกด้วย
จัตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม และ มหาวิหารฟลอเรนซ์
 เมื่อปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) ใจกลางเมืองเก่าของเมืองฟลอเรนซ์ได้รับเลือกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (Unesco) เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของเรอเนสซองส์ ที่ได้เติบโตขึ้นเป็นอิทธิพลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมภายใต้การปกครองของตระกูลเมดิชี (Medici) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 -16 รวมไปถึงกิจกรรมทางศิลปะที่พิเศษอันดำเนินไปในช่วง 600 ปี เห็นได้ชัดเจนที่สุดจากสถานที่ท่องเที่ยว โบราณสถาน และอื่นๆในเขตเมืองเก่าฟลอเรนซ์ 

                     เดินทางสู่ กรุงโรม (Rome) เมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันมีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี สถานที่จุดหมายปลายทาง
กรุงโรม (Rome) 
เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซิโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์ โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ตอนกลางของประเทศ โดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมาย เช่น ราชอาณาจักรโรมันสาธารณรัฐโรมัน และจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของ  อารยธรรมตะวันตกและในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวง
ของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870 นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอีกด้วย 
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St.Peter’s Basilica)
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์และลานด้านหน้า จักรพรรดิคอนสแตนตินที่รับเชื่อศาสนาคริสต์ได้สร้างวิหารขึ้นที่ตรงนี้เป็นครั้งแรกในคริสตศตวรรษที่ 4 แต่วิหารก็เสื่อมโทรมและพังทลายลง จนอีกหนึ่งพันปีต่อมาได้มีการสร้างมหาวิหารหลังปัจจุบันขึ้นมาแทนที่ ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินหลายท่าน แต่ส่วนใหญ่จะให้เครดิตแก่  มิเคลันเจโลที่มีส่วนสำคัญในการก่อสร้างโดยเฉพาะยอดโดมที่สวยงาม
ส่วนลานขนาดมหึมาด้านหน้ากลับเป็นผลงานของศิลปินรุ่นหลังที่ชื่อแบร์นินี (Bernini) ผู้ออกแบบน้ำพุต่าง ๆ รอบกรุงโรมเชื่อกันว่าตัวมหาวิหารสร้างบนที่ซึ่งเซนต์ปีเตอร์หรือที่รู้จักในบ้านเราว่านักบุญ เปโตรถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนแบบกลับหัวลงในยุคโรมันโบราณ
ลานแห่งนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่าปิแอสซ่า ซานพิเอโตร (Piazza San Pietro) สร้างเป็นรูปวงรีล้อมรอบด้วยเสา 284 ต้น บนหลังคามีรูปปั้นของนักบุญ 96 องค์ กลางลานมีเสาโอบิลิสก์ (Obelisk) อายุเก่าแก่กว่า 2000 ปี ลานแห่งนี้ในช่วงพิธีสำคัญทางคริสต์ศาสนาจะเป็นที่ชุมนุมของศาสนิกชนจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
สิ่งสำคัญภายในตัววิหารคือรูปประติมากรรมหินอ่อนอันมีชื่อเสียงของมิเคลันเจโล่ชื่อว่า Pieta ซึ่งเป็นรูปของพระแม่มารีประคองร่างของพระเยซูหลังจากสิ้นพระชนม์บนกางเขนไว้บนตัก เป็นรูปแกะสลักซึ่งสื่อถึงอารมณ์ความรักของแม่ได้อย่างลึกซึ้ง
การเดินทางสู่โรม
การเดินทางสู่กรุงโรมนั้นสามารถเดินทางได้ทั้งเครื่องบินและรถไฟ หากเดินทางด้วยเครื่องบินจากไทยนั้น ส่วนใหญ่จะต้องมาลงที่สนามบิน Leonardo da Vinci Airport หรือชื่อที่เรียกกันสั้นๆว่า Fiumicino

การเดินทางจากสนามบิน Fiumicino เข้าสู่กรุงโรมนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1. รถไฟด่วน The Leonardo Express ให้บริการระหว่างสนามบินและสถานีรถไฟหลัก Termini โดยรถไฟจะออกทุกๆ 30 นาที
2. รถไฟปกติ ให้บริการจากสนามบินสู่ตัวเมืองโดยสามารถออกจากรถไฟที่สถานี Tiburtina เพื่อเดินทางต่อโดย Metro ซึ่งค่าตั๋วของรถไฟธรรมดาจะถูกกว่า Leonardo Express
3. Terravision Shuttle Bus ให้บริการระหว่างสนามบินและสถานีรถไฟหลัก Termini สามารถซื้อตั๋วเดินทางได้ทั้งแบบเที่ยวเดียวและไป-กลับ
หากเดินทางมายังกรุงโรมด้วยรถไฟนั้น รถไฟจะมาจอดที่สถานีรถไฟหลัก Termini ในเมืองอยู่แล้ว เมื่อมาถึงก็สามารถเดินทางต่อโดย Metro เพื่อไปยังจุดต่างๆของเมืองได้เลย

การเดินทางภายในกรุงโรม
การเดินทางไปเที่ยวตามสถานที่เที่ยวต่างๆในกรุงโรมนั้น สามารถใช้ระบบขนส่งมวลชนซึ่งประกอบไปด้วยรถไฟใต้ดิน (Metro) เป็นหลักได้ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั้นอยู่ใกล้กับ Metro แต่หากจุดไหน Metro ไปไม่ถึงก็สามารถใช้รถบัสได้ Metro ในกรุงโรมนั้นมีขนาดไม่ใหญ่และซับซ้อนเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ๆอย่างปารีสหรือลอนดอน เนื่องจากมีรถไฟแค่ 2 สายเท่านั้น ทำให้การเดินทางนั้นทำได้ง่ายกว่าปารีสหรือลอนดอน

*********************
*******
แหล่งที่มา : 
http://www.meetaweetour.co.th/v1/italy-information/1118--trevi-fountain.html
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=ktip13&month=03-11-2010&group=22&gblog=2
http://www.qetour.com/tour-detail.php?pkno=2543&countrytour=07259
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=zantha&group=3&month=03-2006&date=07&blog=1
http://www.meetaweetour.co.th/v1/italy-information/1112--milan.html

























วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555


ยุคหลังสมัยใหม่ (THE POST MODERN ERA)
หลังสมัยใหม่ คืออะไร
         หลังสมัยใหม่ เป็นคำที่มีหลายความหมาย ซึ่งไม่ได้มีขึ้นมาโดยตัวของมันเอง แต่มีขึ้นมาจากการเทียบเคียงกับสมัยใหม่  อย่างไรก็ตาม เราคงไม่สามารถหาวันเวลาที่แน่ชัดของการกำเนิด หลังสมัยใหม่ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด ประมาณว่าในช่วงระหว่างทศวรรษที่ 60-70ได้เริ่มมีการพูดถึงประเด็นในเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในแวดวงของวรรณกรรมและศิลปะ
           Ihab Hassan ได้ให้คำจำกัดความ “หลังสมัยใหม่” ว่าเป็นยุคที่ไม่สามารถกำหนดได้ ซึ่งเขาหมายถึง “อาณาบริเวณที่วาทกรรม”ต่างๆ ทำหน้าที่ของมัน โดยที่ความหลากหลายของแนวคิดจะช่วยให้เราตระหนักถึง “รหัส” ที่อยู่รอบๆ ตัวของเรา โดยเฉพาะที่ปรากฏอยู่ในภาษา Hassanได้พยายามรวบรวมลักษณะของแนวคิดแบบหลังสมัยใหม่ที่ปรากฏอยู่ในงานด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน ภาษาศาสตร์ ทฤษฎีวรรณกรรม ปรัชญา มนุษย์วิทยา รัฐศาสตร์ ตลอดจนเทววิทยา จากนักคิด นักเขียนหลายๆ กลุ่มทั้งจากยุโรป และอเมริกา โดยทำการเปรียบกับรูปแบบที่ปรากฏในงานของสมัยใหม่นิยมจากการรวบรวมของ Hassan แนวคิดของหลังสมัยใหม่ มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากสมัยใหม่ ดังตารางเปรียบเทียบสภาวะสมัยใหม่กับสภาวะหลังสมัยใหม่ตามแนวคิดของ Hassan ดังนี้

          จากตารางการเปรียบเทียบตามแนวคิดของ Hassan ดังกล่าว อาจสรุปได้ว่า ลักษณะของหลังสมัยใหม่มีลักษณะที่สำคัญ คือ เป็นลักษณะของความแตกต่าง, เป็นลักษณะของความสัมพัทธ์, เป็นลักษณะของความไม่ต่อเนื่อง, เป็นลักษณะของการกระจัดกระจายและเป็นลักษณะของความไร้ระเบียบนั้นเอง
จุดเด่นของแนวคิดหลังสมัยใหม่
          Lyotard เห็นว่าลักษณะเด่นของแนวคิดหลังสมัยใหม่นิยม คือ วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับความชอบธรรมของความรู้ในยุคหลัง-อุตสาหกรรม เงื่อนไขของความเป็นหลังสมัยใหม่ คือ การล่มสลายของเรื่องเล่าขนาดใหญ่หรืออภิมหาเรื่องเล่า  นั่นเอง แนวคิดหลังสมัยใหม่นิยม จะช่วยให้เรามองเห็นความแตกต่างท่ามกลางภาพกว้างของกระแสหลัก ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เราเห็นความแตกต่างละทิ้งความซ้ำซากแล้วหลังสมัยใหม่นิยม มีพลังสูงพอสมควรในการเขย่ารากฐานและระบบความคิดที่แข็งทื่ออย่างเช่น ปรัชญา วัตถุนิยม จนเกิดการพังทลายและมีความว่างเกิดขึ้นนำไปสู่การสังเคราะห์ใหม่ระหว่างสสาร/ความคิด และที่สำคัญคือ หลังสมัยใหม่สอนให้เรารู้จักคิดแบบองค์รวม  ซึ่งทำให้การศึกษาทางสังคมศาสตร์มีความถ่อมตัวมากขึ้น ในการอ้างถึงความรู้ที่ศึกษาวิจัยมา อย่างน้อยก็ลดระดับการอธิบายการอ้างถึงความสมบูรณ์ของความรู้ครอบคลุมไปหมด จุดเด่นของหลังสมัยใหม่ที่กล่าวมาย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่า หลังสมัยใหม่เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาและการท้าทายที่ทำให้การอ้างถึงความรู้ที่มีอยู่ในการศึกษาทางสังคมศาสตร์ไม่เป็นแบบเกินเลยและถ่อมตัว/ถ่อมตนมากขึ้น โดยถือว่าความรู้ทุกอย่างล้วนเป็นวาทกรรมทั้งสิ้น
จุดด้อยของแนวคิดหลังสมัยใหม่
           อย่างไรก็ตามแม้ว่า หลังสมัยใหม่ไม่ได้เสนออะไรที่เด่นชัดมากนัก เพราะตัวหลังสมัยใหม่เองเป็นเพียง "กระแสความคิด" มากกว่าจะเป็น "สำนักคิด" ที่มีระเบียบวิธี, ปรัชญา และเป้าหมายในการศึกษาที่ชัดเจนตายตัว แต่อย่างไรก็ดีไม่ได้หมายความว่าหลังสมัยใหม่จะไม่มีอะไรเลย และไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสารอยู่ข้างใน  สำหรับผู้เขียนแล้ว นี้ก็เป็นการกล่าวหากันเลื่อนลอยจนเกินไป
อิทธิพลที่มีต่อศิลปะในยุคหลังสมัยใหม่
      การปฎิเสธศูนย์กลาง ก็คือ การปฎิเสธอำนาจครอบงำ เน้นชายขอบซอกมุม เพื่อปลดเปลื้องการครอบงำทางด้านเวลา เทศะ และอัตลักษณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังปรากฏในสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่เลิกเน้นศูนย์กลาง และการปฎิเสธความเป็นเอกภาพ หรือ องค์รวม ภาพเขียนหรือสถาปัตยกรรมจึงไม่จำเป็นต้องจบสมบูรณ์อาจเป็นหลายเรื่องซ้อนเร้นกัน    
     ศิลปะยุดหลังสมัยใหม่โดยรวมแล้วจะคัดค้านโครงสร้างระเบียบ ลำดับ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเพราะถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม และแนวคิดนี้จะต่อต้านจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์แต่จะโหยหาอดีต เนื่องจากความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ อดีตของพวกเขาไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นการทำลายประวัติศาสตร์เพราะมันถูกนำมาอยู่ในปัจจุบันหรือหลุดไปจากบริบทอย่างสิ้นเชิง

สังคมในยุคหลังสมัยใหม่
     ยุคหลังสมัยใหม่กำลังก้าวเข้ามาแทนที่ยุคสมัยใหม่อย่างท้าทาย ด้วยนัยแห่งการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม อาทิ เช่น


1. ลักษณะทางเศรษฐกิจที่ก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจแบบบริโภคนิยมมวลชน (Mass Consumerism)  ความเป็นยุคทุนนิยมตอนปลาย

2. ลักษณะการผลิตเป็นแบบหลังอุตสาหกรรม (Post-Industrial) ความเป็นสังคมข่าวสาร สังคมที่ประกอบขึ้นจากการจำลอง

3. ลักษณะล้ำความจริง (Hyperreality) การยุบตัว (Implosion) รวมถึงรูปแบบใหม่ทางเทคโนโลยีและวัฒนธรรม เป็นยุคที่สื่ออิเลคโทนิคส์ ซึ่งสามารถตัดข้ามผ่านพื้นที่ทางกายภาพจะเข้ามาแทนที่ "ชุมชน" อันจะทำให้แนวคิดเรื่องสังคมจะกลายเป็นเพียงภาพลวงตา
                        ***************************************************         
ที่มา :

















วัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย

วัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย
     การติดต่อกับชาวต่างชาติของคนไทยในยุคสมัยต่าง ๆ มีผลต่อสังคมไทยหลายด้าน วัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย โดยวัฒนธรรมบางอย่างได้ถูกปรับใช้ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตและประเพณีดั้งเดิมของคนไทย ขณะที่วัฒนธรรมบางอย่างรับมาใช้โดยตรง

1. วัฒนธรรมตะวันออกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย  อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันออกต่อสังคมไทย มีมาตั้งแต่ก่อนการตั้งอาณาจักรของคนไทย เช่น สุโขทัย ล้านนา ซึ่งมีทั้งวัฒนธรรมที่รับจากอินเดีย จีน เปอร์เซีย เพื่อนบ้าน เช่น เขมร มอญ พม่า โดยผ่านการติดต่อค้าขาย การรับราชการของชาวต่างชาติ การทูต และการทำสงคราม สำหรับตัวอย่างอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันออกที่มีต่อสังคมไทยมีดังนี้
1. ด้านอักษรศาสตร์ เช่น ภาษาไทยที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยสุโขทัยได้รับอิทธิพลจากภาษาขอม รับภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตจากหลายทางทั้งผ่านพระพุทธศาสนา ผ่านศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จากอินเดีย เขมร นอกจากนี้ ในปัจจุบันภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ก็ได้มีอิทธิพลต่อสังคมไทยมากขึ้น
2. ด้านกฎหมาย มีการรับรากฐานกฎหมาย มีการรับรากฐานกฎหมายอินเดีย ได้แก่ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ โดยรับผ่านมาจากหัวเมืองมอญอีกต่อหนึ่ง และกลายเป็นหลักของกฎหมายไทยสมัยอยุธยาและใช้มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
3. ด้านศาสนา พระพุทธศาสนาเผยแผ่อยู่ในผืนแผ่นดินไทยมาเป็นเวลายาวนานแล้ว ดังจะเห็นได้จากแว่นแคว้นโบราณ เช่น ทวารวดี หริภุญชัยได้นับถือพระพุทธศาสนา หรือสุโขทัย รับพระพุทธศาสนาจากนครศรีธรรมราชและได้ถ่ายทอดให้แก่อาณาจักรอื่น ๆ ซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตและการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมของคนไทยตลอดมา นอกจากนี้ คนไทยยังได้รับอิทธิพลในการนับถือศาสนาอิสลามที่พ่อค้าชาวมุสลิมนำมาเผยแผ่ รวมทั้งคริสต์ศาสนาที่คณะมิชชันนารีนำเข้ามาเผยแผ่ในเมืองไทยนับตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา
4. ด้านวรรณกรรม ในสมัยอยุธยาได้รับวรรณกรรมเรื่องรามเกรียรติ์ มาจากเรื่องรามายณะของอินเดีย เรื่องอิเหนาจากชวา ในสมัยรัตนโกสินทร์ได้มีการแปลวรรณกรรมจีน เช่น สามก๊ก ไซอิ๋ว วรรณกรรมของชาติอื่น ๆ เช่น ราชาธิราชของชาวมอญ อาหรับราตรีของเปอร์เซีย เป็นต้น
5. ด้านศิลปวิทยาการ เช่น เชื่อกันว่าชาวสุโขทัยได้รับวิธีการทำเครื่องสังคโลกมาจากช่างชาวจีน รวมทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรมเนื่องในพระพุทธศาสนาจากอินเดีย ศรีลังกา
6. ด้วยวิถีการดำเนินชีวิต เช่น คนไทยสมัยก่อนนิยมกินหมากพลู รับวิธีการปรุงอาหารที่ใส่เครื่องแกง เครื่องเทศจากอินเดีย รับวิธีการปรุงอาหารแบบผัด การใช้กะทะ การใช้น้ำมันจากจีน ในด้านการแต่งกาย คนไทยสมัยก่อนนุ่งโจงกระเบนแบบชาวอินเดีย เป็นต้น
********************
2. วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ไทยได้รับวัฒนธรรมตะวันตกหลายด้านมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในระยะแรกเป็นความก้าวหน้าด้านการทหาร สถาปัตยกรรม ศิลปวิทยาการ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา คนไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีของคนไทยมาจนถึงปัจจุบัน ดังอย่างวัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยที่สำคัญมีดังนี้
1. ด้านการทหาร เป็นวัฒนธรรมตะวันตกแรก ๆ ที่คนไทยรับมาตั้งแต่อยุธยา โดยซื้ออาวุธปืนมาใช้ มีการสร้างป้อมปราการตามแบบตะวันตก เช่น ป้อมวิไชยประสิทธิ์ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการจ้างชาวอังกฤษเข้ามารับราชการเพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการทหาร มีการตั้งโรงเรียนนายร้อย การฝึกหัดทหารแบบตะวันตก
2. ด้านการศึกษา ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีชนชั้นนำจำนวนหนึ่ง เช่น พระอนุชาและขุนนางได้เรียนภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงจ้างครูต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษและความรู้แบบตะวันตกในราชสำนักในสมัยรัชการลที่ 5 มีการตั้งโรงเรียนแผนใหม่ ตั้งกระทรวงธรรมการขึ้นมาจัดการศึกษาแบบใหม่ ทรงส่งพระราชโอรสและนักเรียนไทยไปศึกษาที่ประเทศต่าง ๆ เช่น โรงเรียนแพทย์ โรงเรียนกฎหมาย ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับและการตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. ด้านวิทยาการ เช่น ความรู้ทางด้านดาราศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ความรู้ทางดาราศาสตร์จนสามารถคำนวณการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างถูกต้อง ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งเริ่มในสม้ยรัชกาลที่ 3 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการจัดตั้งโรงพยาบาล โรงเรียนฝึกหัดแพทย์และพยาบาล ความรู้ทางการแพทย์แบบตะวันตกนี้ได้เป็นพื้นฐานทางการแพทย์และสาธารณสุขไทยในปัจจุบันด้านการพิมพ์ เริ่มจากการพิมพ์หนังสือพิมพ์รายปักษ์ภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2387 ชื่อ "บางกอกรีคอร์เดอร์" การพิมพ์หนังสือทำให้ความรู้ต่าง ๆ แพร่หลายมากขึ้น ในด้านการสื่อสารคมนาคม เช่น การสร้างถนน สะพาน โทรทัศน์ โทรศัพท์ กล้องถ่ายรูป รถยนต์ รถไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่คนไทยเป็นอย่างมาก
4. ด้านแนวคิดแบบตะวันตก การศึกษาแบบตะวันตกทำให้แนวคิดทางการปกครอง เช่น ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ สาธารณรัฐแพร่เข้ามาในไทย และมีความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นอกจากนี้ วรรณกรรมตะวันตกจำนวนมากก็ได้มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนรูปแบบการประพันธ์จากร้อยกรองเป็นร้อยแก้ว และการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ ในสังคมไทย เช่น การเข้าใจวรรณกรรมรูปแบบนวนิยาย เช่น งานเขียนของดอกไม้สด ศรีบูรพา
5. ด้านวิถีการดำเนินชีวิต การรับวัฒนธรรมตะวันตกและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มาใช้ ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไป เช่น การใช้ช้อนส้อมรับประทานอาหารแทนการใช้มือ การนั่งเก้าอี้แทนการนั่งพื้น การใช้เครื่องแต่งกายแบบตะวันตกหรือปรับจากตะวันตก การปลูกสร้างพระราชวัง อาคารบ้านเรือนแบบตะวันตก ตลอดจนนำกีฬาของชาวตะวันตก เช่น ฟุตบอล กอล์ฟ เข้ามาเผยแพร่ เป็นต้น
********************
ที่มา :
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2783