ศิลปะตะวันตก
(ยุคหลังลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ -
สงครามโลกครั้งที่๑)
------------------------------------------------------------------------------------------------
ความเคลื่อนไหวของศิลปะเอกเพรสชันนิสม์ที่สำคัญมี
2 กลุ่ม คือ
1. ศิลปินกลุ่มสะพาน (The Bridge)
2. กลุ่มม้าสีน้ำเงิน (The Blue Rider)
๑.ศิลปินกลุ่มสะพาน (The Bridge)
สะท้อนความสับสน ความอัปลักษณ์ของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และศาสนา ความสกปรกของสังคม ความเหลวแหลกโสมม หลอกลวง ใช้สีที่รุนแรง (สลายตัว ค.ศ.๑๙๑๓ จากปัญหาวิกฤตสังคมและสงครามโลกครั้งที่๑)
แนวทางการสร้างสรรค์งานจะสะท้อนเรื่องราวทางศาสนาด้วยความรู้สึกโหดร้ายน่าขยะแขยงน่าเกลียด
แสดงความรัก กามารมณ์และความตาย ประการสำคัญภาพส่วนใหญ่เน้นแสดงออกทางจิตวิทยามากกว่าความจริง
2.
กลุ่มม้าสีน้ำเงิน (The Blue Rider)
ได้รับอิทธิพลของโกแกงมากว่าแวนโก๊ะ
แนวทางการสร้างสรรค์เป็นแบบผ่อนคลายกระทำความรู้สึกของผู้ชมจากความรู้สึกน่าขยะแขยง
เป็นการแสดงอารมณ์แบบรุนแรงที่แผงความสนุกสนาน ใช้สี เส้น
และการแสดงลีลาคล้ายเสียงดนตรี (สลายตัว ค.ศ. 1914 เพราะ WW.I)
***
|
ศิลปะลัทธิโฟวิสม์
ศิลปิน : มาทิสส์ (Matisse)
ผลงานช่วงแรกของมาทิสส์เป็นแบบอิมเพรสชันนิสม์ ผลงานที่สำคัญ คือ “ภาพเปลือยกับลวดลายเบื้องหลัง” “ห้องสีแดง”
มาทิสส์สร้างงานที่ไม่เน้นรายละเอียด
ส่งผลต่อวงการประติมากรรมสมัยใหม่เป็นอย่างมาก
มาดามมาทิสส์ โดย มาทิสส์, 1905 / ประติมากรรมชุดข้างหลังผู้หญิง,โดย
มาทิสส์, 1909-29
***
ศิลปินลัทธิเอ็กเพรสชันนิสม์
ศิลปิล : เอ็ดวาร์ด มูงค์ (Edvard Munch)
เป็นผู้นำและผู้ให้อิทธิพลแก่ศิลปินกลุ่มเอ็กเพรสชันนิสม์
เกิดวันที่ 12 ธันวาคม 1863 ทางภาคใต้ของนอรเวย์
ผลงานที่มีชื่อเสียงของมูงค์คือ ภาพ “เสียงร้องไห้” หรือ The Cry ซึ่งเขียนในปี ค.ศ.1893
เขาสามารถผสานอารมณ์ของเส้น และสีที่ปรากฏในผืนภาพให้กระตุ้นและชักนำอารมณ์ของคนชราได้เช่นเดียวกับเขา
เสียงร้องไห้, มูงส์, 1893
***
ศิลปินลัทธิบิสม์
ศิลปิน : ปาโบล ปิคัสโซ (Pablo Picasso)
ปิคัสโซเป็นศิลปินหัวก้าวหน้า พัฒนาผลงานอย่างไม่หยุดยั้ง เริ่มจากการทำงานตามแบบแผนที่มีโครงสร้าง
โดยใช้สีวรรณะเย็นดูเศร้าหมองแบบยุคม้าสีน้ำเงิน สะท้อนชีวิตที่ยากลำบากของเขา
สมบัติส่วนตัวของปิคัสโซ,
1937
ศิลปิน
: จอร์จ บราค
เกิดที่เมืองเลออาฟร์ ใกล้กรุงปารีสเรียนศิลปะเมื่อายุ 17 ปี โดยมุ่งจะเป็นมัณฑนากรเมื่อพบกับดูฟี (Doufi)
และฟิทซ์ (Fitz) ศิลปินลัทธิโฟวิสม์ จึงหันเหสู่การสร้างสรรค์จิตรกรรมและรวมกลุ่มกับศิลปินลัทธิโฟวิสม์
ผลงานชิ้นสำคัญของยอร์จ บราค มี อาที “บ้านที่เลสตัค”
อยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเบอร์น “โต๊ะนักดนตรี” “แท่นสีดำ” อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่กรุงปารีส รูปปั้น “หัวม้า”
อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ กรุงปารีส ฯลฯ
โรเบิร์ต เดอ โลเนย์ (หอไอเฟล)
***
ศิลปะลัทธินามธรรม (Abstractionism Art)
ให้ความสำคัญเรื่องรูปแบบศิลปะหรือปรากฏการณ์
อันเกิดจากการผสานรวมตัวกันของทัศนะธาตุ ( เส้น สี
แสงเงา รูปร่าง ลักษณะผิว )ไม่คำนึงถึงเนื้อหาศิลปะ จำแนกเป็น
2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. ศิลปะนามธรรมแบบโรแมนติก
2. ศิลปะนามธรรมแบบคลาสสิค
1. ศิลปะนามธรรมแบบโรแมนติก
สร้างงานที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างเสรี โดยส่งผ่านลักษณะรูปแบบศิลปะที่อิสระ
ศิลปินอาจมีพื้นฐานทางอารมณ์มาจากความรัก ความเศร้า ความห้าวหาญ ฯลฯ
แล้วแสดงออกอย่างทันที
2. ศิลปะนามธรรมแบบคลาสสิกสร้างงานที่ผ่านการคิดไตร่ตรองการวางแผนอย่างมีระบบมีกฎเกณฑ์
โดยใช้รูปทรงเรขาคณิตควบคุม ศิลปินกลุ่มนี้มีมงเดรียน (Mondrian) เป็นผู้นำให้อิทธิพลต่อ Abstract แบบขอบคม (Op
Art) ในอเมริกา
The composition, Kandinsky, 1939
***
ศิลปิน : แจคสัน พอลลอค (Jackson Pollock)
ได้รับฉายาว่าเป็นจิตรกรแบบ Action Painting สร้างงานจิตรกรรมโดยการสาด สลัด ราดหรือแม้แต่การเหวี่ยงลงบนพื้นเฟรมด้วยลีล่าท่าทางที่ว่องไว
เพื่อบันทึกความรู้สึกของศิลปินเอาไว้ในผืนเฟรม ด้วยสีสัน
***
ศิลปะลัทธิฟิวเจอริสม์ (Futurism Art)
ศิลปินอิตาลีกลุ่มหนึ่ง มีความเห็นขัดแย้งกับแนวทางศิลปะเชิงขนบนิยมในประเทศของตนอย่างรุนแรง
เริ่มต้นเคลื่อนไหวในปี
ค.ศ.1909
ศิลปะลัทธิฟิวเจอริสม์
ได้ชื่อจากความเชื่อทางศิลปะของศิลปินและแนวทางการสร้างงาน คือ มุ่งแสดงความรู้ เคลื่อนไหว จากบริบทของสังคมยุคเครื่องจักรกล
ที่แพร่ในยุโรป ต้องการแสดงออกถึงลักษณะของสังคมยุคใหม่
เห็นความงามของเครื่องจักรกลที่รวดเร็วและมีพลัง ศิลปะฟิวเจอร์ริสม์จึงเป็นการสร้างผลงานแสดงชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่ไม่หยุดนิ่ง
อันเป็นผลจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
ศิลปินเกือบทั้งหมดเป็นชาวอิตาลี อาทิ บอคโซนี (Boczoni)/บาลลา
(Balla)/คาร์รา(Carra)/เซเวอรินี (Severini)/รุสโซโล (Russolo)
บอคโซนี (Boczoni)
ประสบการณ์ต่าง
ๆ เป็นปัจจัยทางปัญญาและความคิด
ทำให้บอคโซนีใช้ในการพัฒนาการงานรูปแบบฟิวเจอริสม์ภาพ “เมืองเติบโต” เป็นภาพม้าที่วิ่งเต็มเมือง
ผู้คนที่วุ่นวายสับสนท่ามกลางความเร็วและความแออัดยัดเยียด
เป็นภาพที่มีความเคลื่อนไหวสั่นพร่าอยู่เบื้องหน้าอาคารสมัยใหม่
Umberto Boccioni, The City Rises (1910)
***
จิอาโคโม บอลลา (Chiacomo Balla)
1. มีคุณูปการต่อศิลปะลัทธิฟิวเจอริสม์มาก
2. มีบทบาทสร้างสรรค์งานแบบฟิวเจอริสม์มากและยาวนานที่สุด
ตั้งแต่ ค.ศ.1920
3. เป็นครูของ บอคโซนีและเซเวรินี
ในช่วงปี ค.ศ.1900
*****************************************************
*********************************************************
************************************************************
ที่มา : Powerpoint ของท่านอาจารย์ พิทยะ ศรีวัฒนะสาร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น